ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์

กรรมการผู้จัดการใหญ่ - ห้างหุ้นส่วนจำกัด เนเจอร์กิฟ 711

 

ประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงาน

ดร.กฤษฎา จ่างใจมนต์ และน้องๆ คุณพ่อ คุณแม่ รวม 8 ชีวิต เช่าห้องขนาด 3 x 4 เมตร อยู่ในสลัมซอยสามยอด วังบูรพามาตั้งแต่เด็กจนอายุได้ 22 ปี ชีวิตในวัยเด็กต้องดิ้นรนต่อสู้ อยู่ตลอดเวลา ในวันหยุดต้องไปรับขนมจากปากคลองตลาดมาขายในสลัม เมื่อขายหมดก็ไปรับไอศกรีมแท่งใส่ถัง แบกจากแยกวังแดงมาขายในสลัมอีก พอถึงวันลอตเตอรี่ออกก็จะไปรับใบตรวจเรียงเบอร์ วิ่งขายจากแยกเฉลิมกรุงไปถึงหัวลำโพง แล้ววิ่งกลับมาขายบริเวณโรงหนังแกรนด์, คิงส์. ควีน รอลูกค้าจากการดูหนังรอบดึก

ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย วันหนึ่งคุณครูอัมพร จันสุตะ และคุณครูสมจิตร ธรรมชีวัน ได้ไปหาที่บ้านโดยไม่ได้บอกกล่าว และคุณครูได้บอกแก่ ดร.กฤษฎา ว่ามีคนจะให้ทุนการศึกษา จำนวน 300 บาท สำหรับเด็กเรียนดีแต่ยากจน และเมื่อคุณครูได้มาเห็นสภาพห้องเช่าของดร.กฤษฎา แล้วท่านก็อนุมัติให้โดยไม่ลังเล ดร.กฤษฎามักจะไปอ่านหนังสือ เพื่อเตรียมตัวสอบ โดยใช้บันไดโบสถ์วัดสุทัศน์ และบางครั้งก็ไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติ   ดร.กฤษฎาได้มีโอกาสอ่านหนังสือชีวประวัติของมหาเศรษฐีโลกหลายท่าน ซึ่งได้จุดประกายความคิดให้ ดร.กฤษฎาได้หลายอย่าง ทำให้ ดร.กฤษฎามีความใฝ่ฝันที่จะมีธุรกิจของตนเอง

ต่อมา ดร.กฤษฎาก็ได้มีโอกาสเข้าศึกษาอบรมในสถาบันต่างๆ เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ, บริหารธุรกิจมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และอีกหลายแห่ง

ตอนดร.กฤษฎาเรียนอยู่คณะวิศวะจุฬา อาหารกลางวันของดร.กฤษฎาก็จำกัดแค่ข้าวแกง 1 จาน แล้วเดินกลับมาดื่มน้ำก๊อกฟรีบนอาคาร ไม่เคยดื่มนม หรือกินขนมเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ หลังจากที่ดร.กฤษฎาเรียนจบเพียง 1 สัปดาห์ ก็ได้งานที่การไฟฟ้านครหลวงทันที่ ด้วยอัตราเงินเดือนเริ่มต้นที่ 1,550 บาท ซึ่งจำนวนเงินนี้ต้องใช้เลี้ยงคนทั้งบ้าน เพราะคุณพ่อคุณแม่ตกงาน แถมยังอายุมากแล้ว

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ จึงลาออกจากการไฟฟ้า ออกมาทำงานหาประสบการณ์จากบริษัทเอกชนอยู่ 2 ปี และเมื่อสะสมเงินได้จำนวนหนึ่ง ในปี 2519 จึงออกมา ตั้งบริษัทของตนเอง ด้วยเงินทุน 50,000 บาท โดยใช้บ้านซึ่งเป็นตึกแถวหลังตลาดบางยี่เรือค่าเช่าเดือนละ 200 บาทเป็นทั้งที่พักและที่ทำงาน ธุรกิจที่ทำมามีหลากหลายธุรกิจ ซึ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว

ในปี 2530 ดร.กฤษฎาได้ตั้งโรงงานผลิตเครื่องฟอกอากาศ AEROCLEAN ซึ่งได้รับมาตรฐาน TUV จาก เยอรมัน และมียอดขายในประเทศไทย เป็นอันดับหนึ่งในสมัยนั้น ดร.กฤษฎาได้นำเครื่องฟอกอากาศ AEROCLEAN ไปออกงานที่เยอรมัน และ ที่ชิคาโก สหรัฐอเมริกา ดร.กฤษฎา เคยตั้งบริษัท เพื่อทำธุรกิจระบบการขายหลายชั้น (MLM) แต่ก็ประสบความล้มเหลว

ในปี 2538 ดร.กฤษฎาซื้อที่ดินมาพัฒนา 555 ไร่ หวังว่าจะแบ่งขาย และสร้างที่ปฏิบัติธรรม โดยออกแบบให้มีบรรยากาศคล้ายสวนลุม (งานนี้ได้ล้มเหลว เพราะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ในปลายปี 2540 จนทำให้ขาดเงินหมุนเวียน มีหนี้สินเกิดขึ้นถึง 55 ล้านบาท ต้องตัดขายทรัพย์สินที่มีอยู่ออกไปหลายอย่าง ปัจจุบันที่ดินทั้งหมด 555 ไร่ ดร.กฤษฎาได้บริจาคไป เพื่อใช้ประโยชน์ทางพระพุทธศาสนาสำหรับประชุมสงฆ์. บวชพระ, บวชเณร, อบรมนักเรียน เพื่อสร้างคนดีให้สังคม และฟื้นฟูศีลธรรมโลก สถานที่แห่งนี้เคยจัดงานตักบาตรพระครั้งละ 10,000 รูป มาแล้วหลายครั้ง)

 

นโยบายและอุดมการณ์ในการทำงาน

- ให้ลูกค้ามากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง

- ต้องมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล, ริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ

- คัดสรรวัตถุดิบ จากแหล่งที่ดีที่สุด เพื่อให้สินค้ามีคุณภาพสูงสุดตามเป้าหมาย

- มีความมุ่งมั่น ไม่กลัวลำบาก ไม่ท้อถอยต่ออุปสรรค มีความขยัน ประหยัด อดทน และซื่อสัตย์

 

ความสำเร็จในชีวิตการทำงาน

“ประมาณปี 2530 ผมได้เข้าไปในหมู่บ้านซึ่งเป็นชนบท ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองหลายสิบกิโลเมตร ผมพบว่าผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ ได้รับความทุกข์ทรมาน จากโรคเบาหวานเป็นจำนวนมาก ทั้งๆ ที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มี     ภัตตาคารจีน ไม่มีร้านอาหาร Fast Food มีแต่ร่มไม้และทุ่งนา ต่อมาผมก็สังเกตเห็นว่า ผู้คนในสังคม มีรูปร่างที่อ้วนขึ้นๆ ซึ่งคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคได้หลายอย่าง ทั้ง เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมอง, โรคเข่าเสื่อม และโรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งแต่ละโรคก็ทำให้เจ็บปวด, ทุกข์ทรมาน และสูญเสียค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก

ผมเชื่อว่า ผู้คนในสังคมในอนาคตจะเสียชีวิต และทุกข์กาย ทุกข์ใจ เพราะขาดสารอาหาร มากกว่าจะเสียชีวิต จากการติดเชื้อหลายเท่านัก ผมจึงได้ตั้งปณิธานว่า “เราจะต้องช่วยผู้คนนับล้านคน ให้พ้นจากความทุกข์กาย ทุกข์ใจ” 16 ปีต่อมา ผมก็ได้ลองผลิตกาแฟควบคุมน้ำหนักและช่วยบำรุงสุขภาพ ขึ้นมาเป็นยี่ห้อแรก เพื่อให้เพื่อนๆ และคนในครอบครัว ได้ดื่มกัน  ทุกคนบอกว่าอร่อย, สุขภาพดีขึ้น, ขับถ่ายสะดวกขึ้น ต่อมาปี 2547 ผมจึงผลิตกาแฟควบคุมน้ำหนักออกมาขาย ในชื่อว่า กาแฟ เนเจอร์กิฟ และนำไปถวายพระที่ผมเคารพนับถือตลอดมา จนปัจจุบันได้ถวายปีละ 200,000 ซอง

ปัจจุบัน ดร.กฤษฎามีโรงงานผลิตกาแฟ และอาหารเสริม เนเจอร์กิฟ 3 โรง คือ

โรงงาน DK1            เปิดวันที่ 15 มิถุนายน 2548               ใช้งบ   18 ล้านบาท

โรงงาน DK2            เปิดวันที่  1  มกราคม 2551               ใช้งบ  200 ล้านบาท

โรงงาน DK3            เปิดวันที่ 15 มกราคม 2553               ใช้งบ  500 ล้านบาท

 

กิจกรรมอันเป็นประโยชน์เพื่อสังคม และสาธารณกุศล

ฟื้นฟูงานพระพุทธศาสนา เงินเดือนของ ดร.กฤษฎาและภายา ได้ถูกนำไปทำบุญ ทำทาน สร้างโบสถ์สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระ สร้างศาลาปฏิบัติธรรม สร้างกุฏิพระ พิมพ์หนังสือธรรมะ และสนับสนุนงานบวชพระ เป็นต้น (ในหลายปีที่ผ่านมา ครอบครัว ดร.กฤษฎา ใช้จ่ายไม่ถึง 5% ของเงินที่บริจาค เพื่อฟื้นฟูศีลธรรมโลก) และเคยจัดงานตักบาตรพระ 10,000 รูป มาแล้วหลายครั้ง เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาทำความดี เหมือนในอดีต เพื่อชีวิตที่ผาสุกของคนในสังคม

สนับสนุนการศึกษา โดยการแจกทุนการศึกษา แก่เด็กผู้ด้อยโอกาส โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา และไม่

 

จำเป็นต้องซื้อสินค้าของเนเจอร์กิฟ ปีละ 100 ทุน ทุนละ 12,500 บาท เป็นเงินปีละ 1,250,000 บาท และสมทบทุนก่อสร้างอาคารเรียนวิศว 100 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเงิน 1,000,000 บาท

มูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.)

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

สถานที่ติดต่อ :

288/52 อาคารมูลนิธิ มสวท. ถนนพหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10220

Tel. +66(0) 2552-5200 Fax. +66(0) 2551-4422 Email : thaifstt@gmail.com 

Copyright © 2008-2015 หากมีปัญหาในการรับชมกรุณาติดต่อ Webmaster ที่ admin@thaifstt.org